Saturday, September 6, 2008

ชูพงษ์ ช่างปรุง (เดี่ยว)















ชูพงษ์ ช่างปรุง (เดี่ยว)





ประวัติ วัน-เดือน-ปีเกิด : 23 มกราคม 2524, ส่วนสูง : 170 ซม., น้ำหนัก : 65 กก., ศาสนา : พุทธ
จังหวัด : กาฬสินธุ์, การศึกษา : กศบ. พลศึกษา วิทยาลัยพละจังหวัดมหาสารคาม ปริญญาตรี มศว.
ความสามารถพิเศษ : มวย , ยิมนาสติก , กระบี่กระบอง, งานอดิเรก : เล่นกีฬา , เล่นดนตรี , เล่นกีตาร์
กีฬาที่ชอบ : ฟุตบอล , ตะกร้อ, สถานที่ท่องเที่ยว : ทะเล,ภูเขา, ดาราที่ชอบ : จา พนม , นิโคลัส เคจ
ศิลปินที่ชอบ : เสก โลโซ, แนวภาพยนตร์ที่ชอบ : Action, ภาพยนตร์ในดวงใจ : face off
ความใฝ่ฝัน : อยากทำงานในวงการไปนานๆ , ได้พัฒนาตนเองทำให้ครอบครัวภูมิใจ
ผลงานที่ผ่านมา : ร่วมแสดงภาพยนตร์เรื่อง “ องค์บาก”, “ เกิดมาลุย”, “ ฅนไฟบิน” และ “ ปืนใหญ่จอมสลัด”
เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุงเข้าวงการ โดยการร่วมแสดงภาพยนตร์เรื่อง องค์บาก หลังจากที่ได้เข้าร่วมพิธีไหว้ครูที่วิทยาลัยพละศึกษา จังหวัดมหาสารคามกับพันนา ฤทธิไกร และจา พนม หลังจากภาพยนตร์เรื่อง องค์บาก เดี่ยว ชูพงษ์ก็ได้เป็นหนึ่งในทีมสตันท์ของพันนา และด้วยความโดดเด่นทางด้านบุคลิกหน้าตา และความสามารถทางด้านบทบู๊หลากสไตล ์พ่วงด้วยพื้นฐานยิมนาสติคและมวยไทย ทำให้เดี่ยว ชูพงษ์ ได้รับคัดเลือกให้รับบทพระเอกเรื่อง เกิดมาลุย และประสบความสำเร็จทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อครั้งเดินทางไปโปรโมทยังประเทศญี่ปุ่น ฝรั่งเศสและอเมริกา








บทสัมภาษณ์ "ชูพงษ์ ช่างปรุง"




Q คือ ถาม A คือ คำตอบ




จากเด็กผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้เวลาว่างในการเล่นเตะ ต่อยกับเพื่อนฝูง จนกลายมาเป็นความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นนักบู๊ และด้วยความสามารถบวกกับความพยายามทำให้วันนี้ชื่อของเดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง ผงาดขึ้นมาเป็นพระเอกนักบู๊แถวหน้าของเมืองไทยด้วยเวลาอันรวดเร็ว เริ่มจากการสร้างชื่อเสียงในภาพยนตร์แอ็คชั่นสุดระห่ำเสี่ยงตายแบบไม่เหมือนใครใน เกิดมาลุย และนี่คือบทพิสูจน์การก้าวขึ้นมาแบบเต็มตัวของเดี่ยว ในฐานะพระเอกนักบู๊ดาวรุ่งคนใหม่ในภาพยนตร์แอ็คชั่น – คอเมดี้ฟอร์มยักษ์ส่งท้ายปีของสหมงคลฟิล์มกับเรื่อง ฅนไฟบิน Q : เดี่ยวเข้าสู่วงการการแสดงภาพยนตร์ได้อย่างไร A : คือผมเป็นคนที่ชื่นชอบการเล่นกีฬาเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้วก็เลยเข้าเรียนระดับปวช.และปริญญาตรีที่วิทยาลัยพละศึกษา จ.มหาสารคามซึ่งที่โรงเรียนก็มีพี่จา ( จา พนม )เป็นรุ่นพี่ซึ่งเขาเป็นประธานชมรมกระบี่กระบองและมีโอกาสได้ดูเขาโชว์ท่ารำซึ่งผมสนใจมากก็เลยสมัคร จากนั้นก็ได้ไปช่วยเป็นสตันท์ในภาพยนตร์เรื่อง องค์บาก ตอนนั้นผมยังอยู่ปี 4 พอเรียนจบก็ฝึกมวยไทยสตันท์มาตลอดและบังเอิญว่าพี่พันนาจะกำกับภาพยนตร์เรื่อง เกิดมาลุย พี่ปรัชญาก็เลยเรียกผมไปแคสติ้งและนำไปเสนอเสี่ยเจียง ปรากฏว่าเสี่ยชอบก็เลยได้เล่นภาพยนตร์เรื่อง เกิดมาลุยครับ Q : หลังจากภาพยนตร์เรื่อง เกิดมาลุยถ่ายทำเสร็จและเข้าฉายมีกระแสตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง A : ถ้าเป็นในเมืองไทยเขาก็จะบอกว่าหนังมันส์ดี บทบู๊ดูจริงจังและเสี่ยงตายมากก็มีบางคนที่จำได้ว่าเราเล่นเกิดมาลุย ส่วนในเมืองนอกผมได้มีโอกาสเดินทางไปโชว์ตัวที่ประเทศอเมริกา ฝรั่งเศสและญี่ปุ่น เอาหนังเรื่องเกิดมาลุยไปฉาย จากนั้นก็ให้คนที่ชมภาพยนตร์มีโอกาสถามเรา ส่วนใหญ่เขาจะชื่นชมและถามว่าแสดงเองหมดเลยหรือเปล่าถ้าเป็นเมืองนอกกระแสจะดีกว่า จะชื่นชมแบบถึงเนื้อถึงตัว บางประเทศก็ตั้งเป็นแฟนคลับขึ้นมาเลยครับ Q : ให้พูดถึงคาแรกเตอร์ในภาพยนตร์เรื่อง ฅนไฟบิน A : คาแรกเตอร์ในฅนไฟบิน ผมรับบทเป็นบักเซียงหรือโจรบั้งไฟ คือชื่อจริงๆคือบักเซียงแต่โจรบั้งไฟเป็นฉายาที่ชาวบ้านตั้งให้ เป็นเด็กบ้านนอก ลูกชาวนา อยู่บ้านเลี้ยงควายแต่ตอนเด็กพ่อแม่ถูกนายฮ้อยฆ่าตายก็เลยตามล้างแค้น และจำคนที่ฆ่าได้ว่ามีรอยสักที่หน้าอก พอโตขึ้นก็จะเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ปล้นควายจากนายฮ้อยมาแจกจ่ายให้กับชาวบ้านที่สำคัญเราจะได้ตาม หาคนที่ฆ่าพ่อกับแม่ด้วย เป็นคนมีฝีมือทางการต่อสู้เพราะตอนเด็กได้ไปฝึกวิชามวยไทย มีบั้งไฟกับตะไลเป็นอาวุธ ถนัดในการใช้เข่าแทงจุดอ่อนของคู่ต่อสู้






Q : เรื่อง ฅนไฟบินจะดูเป็นแฟนตาซีมากกว่าเรื่อง เกิดมาลุย A : ใช่ครับ อย่างเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของผม ซึ่งจะมีอาวุธบั้งไฟกับตะไลอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังต้องห้อยไว้ตลอดเวลาก็ลำบากนิดหน่อยเวลาเล่นท่าต่อสู้ซึ่งเป็นยิมนาสติคก็จะเกะกะเล็กน้อยแต่ถือเป็นอาวุธที่แปลกมากครับ ส่วนซีนแอ็คชั่นฉากที่ดูเหนือจริงที่สุดคือขี่บั้งไฟบุกบ้านลีโอ พุฒครับ แต่มวยไทยในเรื่องก็จะเป็นแบบสมจริงหรือที่เรียกว่า Real Action ส่วนที่ต่างจากเกิดมาลุยคือเกิดมาลุยเขาจะใช้สตันท์ทั้งเรื่องและเอาท่าทุกท่ามาผสมกันไม่มีรูปแบบเน้นเสี่ยงตาย บู๊ระห่ำเป็นหลัก Q : มีการเตรียมตัวในการเล่นเรื่องนี้อย่างไรบ้าง A : สิ่งสำคัญที่สุดคือฝึกซ้อมตลอดเวลาครับ มีการเตรียมร่างกายให้พร้อมพอเสร็จจากเรื่อง เกิดมาลุยผมก็ซ้อมมาเรื่อยๆอยู่แล้ว และพอทราบว่าจะได้เล่นเรื่อง ฅนไฟบิน ก็จะถามพี่เหลิมว่าคาแรกเตอร์เราเป็นอย่างไร ต้องการแบบไหน ต้องมีการทำเวิร์คช็อปกันก่อนพี่เหลิม พี่พันนาเขาก็จะบอกให้ผมทำอย่างนั้น อย่างนี้นะ ผมก็จะถามว่าต้องเพิ่มตรงไหน กล้ามเนื้อให้มันคลายหรือยืดกว่านี้ไหม เขาก็บอกว่าให้เป็นธรรมชาติไม่ให้มันดูเหมือนเป็นการเพาะขึ้นมาให้เป็นชาวบ้านเป็นธรรมชาติจริงๆ ส่วนการพูดภาษาอีสานผมก็ถนัดอยู่แล้วครับไม่เป็นปัญหาอะไร Q : การร่วมงานกับผู้กำกับเฉลิม วงค์พิมพ์ A : ผมชอบเรื่อง7ประจัญบานทั้งสองภาคมากครับ เรียกว่าเป็นแฟนคลับพี่เหลิมเลย ยิ่งได้มาเจอมาร่วมงานกันต้องบอกว่าผมโชคดีมาก พี่เหลิมจะใจเย็น รอให้นักแสดงพร้อมแล้วค่อยถ่าย เหมือนเป็นพี่เป็นน้องกันมากกว่า สนุกมากครับ คนบ้านเดียวกันด้วย Q : การร่วมงานกับพันนา ฤทธิไกร A : พูดถึงในแง่ของการเป็นผู้กำกับคิวบู๊ก่อน คือผมรู้จักพี่พันนามานานแล้วและได้ร่วมงานกันจริงจังในเรื่อง เกิดมาลุย พี่พันนาเขาจะเป็นคนออกแบบฉากแอ็คชั่น ใส่รายละเอียดแต่จะดูพื้นฐานความถนัดผมเป็นหลักและผมก็จะบอกว่าสิ่งนี้ผมทำได้ สิ่งนี้ทำไม่ได้ ตรงนี้เปลี่ยนเป็นแบบนี้ดีกว่าและพี่พันนาก็เป็นคนตัดสินใจ คัดมาให้ผมเล่นครับ ส่วนแง่ของการแสดงซึ่งร่วมงานกันเป็น ครั้งแรก ผมเล่นไม่ได้เลยครับทำใจไม่ได้ซักที จิตใจลึกๆมันอธิบายลำบาก คือผมนับถือพี่พันนาเหมือนพ่อคนหนึ่ง เวลาจะต่อยก็เหมือนเราต่อยกับพ่อมันเป็นความรู้สึกแบบนั้นเลยและพี่พันนาเป็นคนให้วิชากับผมด้วยซึ่งเขาก็ช่วยเต็มที่ หมายถึงต่อยผมเต็มที่เลยนะครับ ( หัวเราะ ) เพราะผมไม่กล้าเล่นเขาเลยเตะหวังให้ผมสวนกลับแต่ก็ยังไม่กล้าอยู่ดีครับ Q : การร่วมงานกับนักแสดงท่านอื่น A : อย่างพี่สามารถ พยัคฆ์อรุณก็ร่วมงานกันครั้งแรก ผมว่าเขาเก่งมากครับแม้ว่าเขาจะเป็นถึงแชมป์มวยแต่การเล่นแอ็คชั่นกับการใช้ชีวิตจริงจะต่างกันแต่เขาก็สามารถผสานกันได้ลงตัวครับ ส่วนน้องอุ้ย นางเอกก็ซนมากครับ กับอุ้ยก็ต้องมีการเวิร์คช็อปกันก่อนด้วยเพราะต้องมีฉากเข้าพระเข้านาง ส่วนพี่พุฒเขาสุดยอดเลยครับ ซึ่งตอนถ่ายก็มีการผิดคิวพี่พุฒก็โดนไปหนักเหมือนกันแต่ผมจะชอบเวลาที่เขาเล่นแอ็คติ้ง เขาตลกมากครับ ซึ่งเมื่อก่อนภาพที่เราเห็นเขาก็เป็นนักร้อง เป็นนักแสดงแต่ยังไม่เคยเจอตัวจริง ผมจะขำเขามากเวลาที่เขาเล่นบทตลกครับ Q : แม้ว่าจะพูดภาษาอีสานแต่ก็ถือว่าเป็นอีสานพีเรียด A : เรื่องภาษาก็จะมีปัญหานิดหน่อยครับ จะมีบางคำที่ต้องปรับเปลี่ยน ให้คนภาคกลางเข้าใจด้วยและต้องให้เข้ากับเนื้อหาของหนังด้วยครับ Q : อยากให้เล่าบทแอ็คชั่นในเรื่อง A : บทแอ็คชั่นก็จะเน้นพื้นฐานของผมเป็นหลักคือพื้นฐานทางด้านยิมนาสติคและมวยไทยสตันท์ อย่างท่าตีลังกาเกลียวแทงเข่าคู่ต่อสู้หรือลังกาหลังตีเข่าคู่ต่อสู้ คือจะเน้นในเรื่องของการแทงเข่ากำจัดจุดอ่อนของคู่ต่อสู้แต่ก็ยังคงคอนเสปต์บู๊ระห่ำเสี่ยงตายเหมือนเดิม เน้นท่ามวยที่จริงจังมากขึ้นแต่ด้วยความที่เป็นแฟนตาซีของเรื่อง ทุกอย่างจึงดูเหนือจริงซึ่งพี่เหลิมเขาจะไม่เน้นการใช้ซีจี ก็จะเป็นแอ็คชั่นล้วนๆ กระแทกกันจริงๆ ลอยอยู่บนสลิงจริงๆ นานเป็นวันๆครับ Q : เล่าถึงฉากที่ยากที่สุด A : ผมว่ายากทุกฉากครับเช่นฉากขี่บั้งไฟความสูงกว่าตึกสามชั้นแถมต้องเหยียบบนบั้งไฟที่เปลวเพลิงลุกท่วมเล่นเอาหนังเท้าผมไหม้หมดเลยครับ ฉากนี้ถือว่าเสี่ยงมากเพราะตัวผมต้องยืนทรงตัวบนบั้งไฟความกว้างแค่เท้าเหยียบ มือก็ไม่ได้เกาะอะไรเลย ต้องทรงตัวอยู่นานมากและต้องกะจังหวะให้ถูกว่าบั้งไฟจะวิ่งชนบ้านเมื่อไหร่ เราต้องรีบเทคตัวออกมาก่อนไม่งั้นตัวเราจะถูกอัดติดไป กับตัวบ้านหรืออย่างฉากที่ผมถูกเกวียนลากไปไกลกว่า 2 กิโล ตัวผมต้องไถลไปกับพื้นดินซึ่งร้อนมากแถมเต็มไปด้วยกรวดทรายทรหดมากครับต้องพยุงตัวไต่ขึ้นไปตามเชือกแล้วก็ทรงตัวอยู่บนเกวียนที่แล่นเร็วมาก ส่วนฉากต่อสู้ที่มันส์ที่สุดคือสู้ท่ามกลางกองคาราวานควาย คือเราไม่สามารถทำให้เขาอยู่นิ่งได้ต้องดูจังหวะด้วย เล่นยังไงตีลังกายังไงไม่ให้โดนเขา ไม่งั้นโดนขวิดแน่นอน ไม่ขวิดแค่ตัวสองตัวนะครับขวิดทั้งฝูงแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ ส่วนฉากแอ็คชั่นที่ลำบากใจที่สุดคือ ต่อสู้กับพี่พันนาครับซึ่งต้องใช้ทั้งหมัด เข่าศอกผมโดนพี่พันนาอัดจนจุกไปหมดเลยครับเพราะผมไม่กล้าเล่นพี่พันนาก็เลยใส่ไม่ยั้งเลยครับ ส่วนฉากเสี่ยงตายที่สุดคงจะเป็นการเล่นกับไฟครับเช่นฉากที่ต่อสู้กับพี่สามารถซึ่งเขามีวิชาอาคมเขาก็จะเสกของพุ่งใส่ผมแล้วเกวียนก็จะติดไฟทั้งหลัง ตัวผมก็จะต้องพุ่งฝ่าเกวียนออกมาหรือฉากที่ผมอยู่บนเกวียนซึ่งกำลังพุ่งเข้าใส่บ้านก็ต้องรีบเทคตัวออกมาไม่งั้นตัวผมและเกวียนก็จะระเบิดแหลกไปพร้อมกัน Q : ทราบข่าวว่ามีอาการบาดเจ็บจากการแสดงด้วย A : สำหรับการบาดเจ็บก็มีบ้างครับเพราะในเรื่อง โจรบั้งไฟเขาไม่ได้ใส่รองเท้าก็จะเจ็บหลังเท้า เอ็นช้ำพักไปเกือบเดือน ซึ่งมีอยู่ซีนหนึ่งผมต้องเตะซ้ำกันหลายครั้ง ทำให้หลังเท้าโดนเอ็นบาด หนังเท้าบวมก็เจ็บครับแต่ไม่หนักเท่าไหร่ Q : ความประทับใจในการทำงานเรื่องนี้ A : ผมรู้สึกว่าทุกคนเป็นกันเองมากครับเหมือนเป็นพี่เป็นน้องเป็นครอบครัวเดียวกัน ทานข้าวด้วยกัน พูดภาษาเดียวกันมันเลยทำให้ผมประทับใจและโลเกชั่นก็ใกล้เคียงกับบ้านเกิดผม ทำงานเรื่องนี้มีความสุขมากครับ ไม่เครียด ไม่เกร็งเลยครับ Q : ความน่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ A : ผมว่าถ้าเป็นคอหนังแอ็คชั่นต้องสนใจอยู่แล้ว ถ้าพูดถึงบทผมว่าดีมากครับ แอ็คชั่นก็ดีทุกอย่าง ถ้าผมพูดคนอาจจะไม่เชื่อก็อยากให้ไปดูเรื่องนี้กันเอง ไปพิสูจน์กันเอง โดยเฉพาะคนภาคอีสานเพราะเป็นหนังที่เอาวัฒนธรรมชาวอีสานมาเผยแพร่ ส่วนคนภาคอื่นก็ดูได้ครับจะได้ทราบว่าชีวิตของคนอีสานเป็นอย่างไรครับยังไงก็ฝากภาพยนตร์เรื่อง ฅนไฟบิน ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ







" ปืนใหญ่ จอมสลัด "




ปี 2008 นี้เราจะได้ชมผลงานเรื่องล่าสุดของ ชูพงษ์ ช่างปรุง ในภาพยนต์ เรื่อง "ปืนใหญ่ จอมสลัด"



เนื้อเรื่องย่อ
400 ปีที่แล้ว ลังกาสุกะ รัฐอิสระต้องสูญเสีย รายาบาฮาดูร์ ชาห์ จากการถูกลอบปลงพระชนม์ ราชวงศ์ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการสถาปนา องค์หญิงฮีเจา (จารุณี สุขสวัสดิ์) ธิดาคนโตขึ้นเป็นรายาสตรีองค์แรกแห่งลังกาสุกะ แม้รายาฮีเจาจะปกป้องบ้านเมืองอย่างเข้มแข็ง แต่เหล่าแคว้นรอบด้าน รวมทั้งกลุ่มกบฏและโจรสลัดต่าง ๆ ล้วนหมายจะยึดครองดินแดนอันมั่งคั่งแห่งนี้ จนกระทั่ง ยานิส บรี ปราชญ์แห่งอาวุธชาวดัชท์ เดินทางมาพร้อมกับศิษย์เอกนักประดิษฐ์ชาวจีนนาม ลิ่มเคี่ยม (จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม) เพื่อนำมหาปืนใหญ่ อาวุธที่ดีที่สุดไปถวายรายาฮีเจาใช้ป้องกันบ้านเมือง แต่กลับถูกกลุ่มโจรสลัดที่นำโดยเจ้าชายราไว (เอก โอรี) และ อีกาดำ (วินัย ไกรบุตร) จอมสลัดผู้มีวิชาดูหลำอันแก่กล้า ซุ่มโจมตีเพื่อชิงมหาปืนใหญ่ จนทำให้เรือฮอลันดาระเบิด ยานิส บรีถึงแก่ความตาย กระบอกปืนใหญ่จมลงสู่ก้นทะเล เหลือเพียงแต่ลิ่มเคี่ยมเท่านั้นที่ยังรอดชีวิตอยู่ เหตุการณ์ครั้งนี้ยังเป็นเวลากำเนิดของ ปารี (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) เด็กชายชาวเลผู้มีคุณสมบัติพิเศษในตัวที่จะสามารถฝึกวิชาดูหลำขั้นสูงได้ ปารีเติบโตเป็นหนุ่ม พร้อมกับสั่งสมทั้งความสามารถและความแค้นในการสะสางอีกาดำที่ทำให้พ่อและแม่ของตนต้องตาย ลิ่มเคี่ยมซึ่งช่วยชีวิตปารีในครั้งนั้นไว้ได้ หลบมาใช้ชีวิตอยู่กับหมู่บ้านชาวเล พร้อมประดิษฐ์อาวุธพิสดารมากมาย และตั้งกลุ่มก่อกวนตัดกำลังโจรสลัดขึ้น แม้ลังกาสุกะจะมีทหารเอกฝีมือเยี่ยมอย่าง ยะรัง (ชูพงษ์ ช่างปรุง) แต่ฮีเจาก็ยังจำเป็นต้องให้ อูงู (แอนนา แฮมบาวริส) น้องสาวคนเล็กของตนอภิเษกกับ เจ้าชายปาหัง (เจษฎาภรณ์ ผลดี) เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้ลังกาสุกะ แม้อูงูจะไม่เต็มใจก็ตาม ขณะที่ยะรังนั้นกลับตกหลุมรัก บิรู (ณัฐรดา อภิธนานนท์) องค์หญิงคนรอง แต่กลับไม่สามารถเปิดเผยความรู้สึกนั้นได้ การต่อสู้ของหลายฝ่ายเริ่มขึ้น จนทำให้ปารีได้มาพบกับอูงู ทั้งคู่หลงไปติดเกาะร้างแห่งหนึ่ง เพื่อรักษาตัวจากบาดแผล ที่นั่น…ปารีได้ฝึกวิชาดูหลำชั้นสูงจาก อาจารย์กระเบนขาว (สรพงษ์ ชาตรี) ปรมาจารย์ทางดูหลำ และค้นพบว่า ดูหลำคือวิชาที่มีทั้งด้านสว่างที่ทรงพลังและด้านมืดที่น่ากลัว ยากจะควบคุมจิตใจเอาไว้ได้ พร้อมกับที่ความรักของทั้งปารีและอูงูได้งอกงามขึ้น ขณะเดียวกัน ลิ่มเคี่ยมกุญแจสำคัญในการสร้างปืนใหญ่ กลับถูกกลุ่มสลัดจับตัวเป็นเชลยไว้ได้ และถูกบังคับให้ต้องสร้างปืนใหญ่ที่จะนำมาใช้ทำลายล้างรัฐลังกาสุกะ
สงครามครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น โดยลังกาสุกะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะกองทัพโจรสลัดกลับสามารถกู้มหาปืนใหญ่ในตำนานนั้นจากก้นทะเลไว้ได้ ลังกาสุกะเป็นเป้าหมายของการทำลายล้าง มีเพียง ยะรังนักรบผู้กล้า ปัญญาของลิ่มเคี่ยม อูงูผู้พร้อมสละทั้งชีวิตและความรักเพื่อแผ่นดิน และพลังดูหลำอันลึกลับของปารีเท่านั้น ที่จะต่อกรกับแสนยานุภาพจากกองทัพโจรสลัดเอาไว้ได้
ครับ ขอให้ทุกท่านเป็นกำลังใจให้กับ ชูพงษ์ ช่างปรุง (เดี่ยว ) ด้วยน๊ะ ครับ
ขอบคุณครับ
สุกิจ บุญปก